วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Drug induced renal disorder

INTRODUCTION
-      พบยาที่ทำให้เกิดผลเสียต่อไต  ทั้งหมด ราวๆ 7% ของ ADR ทั้งหมด
-      Acute renal failure ที่เกิดจากยา 18-27%
-      35% เป็น Acute tubular necrosis (ATN) จาก Allergic interstitial nephritis (AIN)
-      36% เกิดจาก Antibiotic โดยเฉพาะ Aminoglycosides*
-      ยาอื่นๆที่พบบ่อย Aminoglycosides,radiocontrast media,NSAIDs,amphotericin B,and ACEIs*
-      NSAIDs พบ 1-5%
-      ส่วนใหญ่มาด้วยอาการ Acute onset renal failure แสดงอาการชัดเจน คือ บวม,wt เพิ่ม,ภาวะน้ำเกิน,หายใจถี่,เปลือกตาบวม  หยุดยาก็จะหายไป
-      Chronic renal injury แบ่งเป็น 5 stage ขึ้นกับความรุนแรงของ renal function
-      acute renal injury เกิดในเวลาสั้นหลังได้รับยา

1.     Pre-renal causes
เกิดขึ้นที่ afferent arterio,glomerulus,เนื้อไต,proximal tubule
ทำให้ไตบกพร่องโดยการรบกวนระบบไหลเวียนเลือดที่จะเข้าสู่ nephron เกิดปัญหาที่การนำส่งเลือดก่อนเข้าสู่ไต  หรือเรียกว่า hemodynamically-mediated renal insufficiency เกิดจาก
-      การลดการไหลเวียนเลือดเข้าสู่ไต
-      เกิดจากการหดตัวของหลอดเลือด โดยเฉพาะส่วนของ glomerulur afferent arterioles
-      เกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือด ส่วนของ glomerulur efferent arterioles
-      ผู้ป่วย HF เนื่องจากหัวใจบีบตัวลดลง เลือดไปเลี้ยงไตลดลง  ไตเสียการทำงาน
-      การขาดน้ำอย่างรุนแรง fluidลดลง  blood vol. ลดลง (อาเจียน,ท้องเสีย,เสียเลือด)
-      การใช้ยาขับปัสสาวะเกินขนาด ทำให้ขาดน้ำอย่างรุนแรง
ยาเกิดบริเวณ Pre-renal
1. Diuretic
-      ใช้ยาเดี่ยวๆ หรือใช้กับยา ลด BP ตัวอื่นๆ  มีผลทำให้เกิด “Prerenal azotemia” ลักษณะหนึ่งของไตบกพร่อง
-      เมื่อ Vol.ลดลง เกิดการขาดน้ำอย่างรุนแรง  ทำให้ไตเสีย อาจพบใน Osmotic diuretic (manitol>300g) มักใช้ใน brain edema
-      เมื่อไหร่ที่ Vol.ลดลง ร่างกายจะกระตุ้นให้หลอดเลือดที่ไตหดตัว urine output จึงลดลง เลือดไหลเข้า afferent arterioles ลดลง เลือดไหลเข้า glomerulur ลดลง ไตทำงานไม่ได้
-      ขาดน้ำนานๆ เกิด tubular dysfunction & tubular necrosis
2. Antihypertensives
-      โดยเฉพาะพวกที่มีฤทธิ์เป็น vasodilators ทำให้ BP ลดลง เกิด “Prerenal azotemia”
-      Vasodilate มากขึ้น ทำให้ BP ลดลง blood flow ลดลง ร่างกายจึงปรับตัว ให้หลอดเลือดที่ไตหดตัว เลือดไหลเข้า afferent arterioles ลดลง ไตทำงานไม่ได้ tubular dysfunction
-      ความสามารถในการปรับตังของร่างกายจะแย่ลง หาก: ผู้สูงอายุ,มีภาวะ renal artery stenosis,volume depletion,ใช้ NSAIDs,ACEIs,ARBs
3. ACEIs & ARBs
-      ไม่ทราบอุบัติการณ์
-      ยาส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดเข้าสู่ไตลดลง
-      ในสภาวะปกติจะต้องอาศัย angiotension II (A II) ในการทำ ให้เกิดการบีบรัดของ efferent arteriole ของ glomeruli เพื่อที่จะคง GFR ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่
-      เมื่อได้ยา ACEI จะทำ ให้ A II ลดลง ให้เกิดการคลายตัวของ efferent arteriole แรงดัน leak ออกง่ายขึ้น ทำให้  hydrostatic pressure ที่ไต ลดลง และทำ ให้ GFR ลดลงตามจึงเกิดภาวะ functional renal failure

การป้องกัน
-      start ยาขนาดต่ำๆ (low dose) ให้ short acting ก่อนแล้วดูผลที่ตามมา  หากไม่เกิดผลเสียค่อยปรับเป็น long acting แล้วเพิ่ม dose เพื่อผลการรักษาที่ดี
-      หากเป็นผู้ป่วย OPD start low dose ให้ long acting ได้  แล้วค่อยปรับ
-      Monitor renal function (Scr) & serum K+
วิธีแก้ไข
-      เจอ Acute renal failure อันดับแรก ต้องหยุดยา
-      แก้ปัญหา renal failure
-      แล้วเริ่มต้นใช้ยาใหม่  โดยใช้ขนาดต่ำสุดเท่าที่เป็นไปได้ + เฝ้าระวัง 
-   ผู้ป่วย CHF เจอปัญหาจากการ on ACEIs & ARBs หยุดยาแล้วเปลี่ยนไปใช้ hydralazine และ Nitrates*

4. NSAID
-      ใน U.S. มีการใช้มากถึง 50 ล้านคน
-      พบ 1-3% * ของผู้ป่วยที่ใช้ยาแล้วมีผลเสียต่อไต
-      500,000-2.5* ล้านคน ที่เกิด
-      คนที่ใช้ระยะยาว มีโอกาสเกิด chronic renal insufficiency ได้
-      Cox 2 inhibitor (celrcoxib )ก็เกิดขึ้นได้ไม่แตกต่างจากตัวอื่น (ต่างแค่ GI side effect)
ปัจจัยเสี่ยง
-      dose สูง
-      ผู้ป่วยที่มี plasma rennin activity สูง (ผู้ป่วยโรคตับที่มี ascites,compensated CHF ,ผู้ป่วยที่มี volume depletion)
-      Cirrhosis,SLE,Sepsis,Hemorrhage
-      ผู้ป่วยที่มีการปป.ระดับของเหลวในร่างกกกายหลังผ่าตัด
-      ผู้ป่วยที่เป็น nephritic syndrome อยู่แล้ว
-      ผู้ป่วย  volume depletion /hypotension

กลไก *
-      PGE2 และ PGs ลดลง ทำให้เกิด vasoconstric renal blood flow จึงลดลง ไตขาดเลือด (โดยเฉพาะ afferent arteriole)
-      ที่สำคัญต้อง keep น้ำ ร่างกายจึงจะยังปรับสมดุลได้
-      ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับ hemodynamically-mediated acute renal failure (เรื่องของการปรับเลือด)
NSAID บางทีเกี่ยวกับ hypersensitivity reaction (interstitial nephritis)

กลุ่มอาการทาง clinic : ที่แสดงให้เห็นว่า NSAID มีผลเสียต่อไต
Acute :
1.      acute vasomotor renal failure
2.      HTN,บวม.CHF
3.      Na ต่ำ
4.      K สูง/metabolic acidosis
5.      Acute tubulointerstitial nephritis
6.      Acute papillary necrosis
Chronic :
1.      Nephrotic syndrome
2.      Chronic papillary necrosis
3.      Analgesic Nephropathy
4.      Renal cancer

การป้องกัน
-      ผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อ ADR ของไต หากต้องการใช้แก้ปวดอย่างเดียว ให้เลี่ยงไปใช้ยากลุ่มอื่น เช่น paracetamol
-      หากจำเป็นต้องใช้ NSAID กับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง ต้อง Monitor renal function
-      หากจำเป็น แนะนำให้ใช้ Sulindac*

วิธีแก้ไข
-      หยุดยา
-      แก้ปัญหา renal failure และ recover ให้ได้ ซึ่งการ dialysis ไม่ได้ช่วยอะไร 
-    ต้องวินิจฉัยแยกโรคกับ NSAID ที่ทำให้เกิดปัญหาต่อไต เพราะจำเป็นต้องทราบกลไกที่เกิดปัญหา  การรักษาต่างกัน  (steroid ใช้รักษา renal injury)
5.  Sulfinpyrazone ; คล้าย NSAIDs
ไปยับยั้งการสังเคราะห์ renal PG (PG ลดลง), ลด renal kallikrein-kinin activity  ทำให้ไตสูญเสียสมดุล
6.  Immunosupressants ; Cyclosporine , tacrolimus
-      ใช้มากใน organ transplantation
-      ยับยั้ง calcinuerin
-      Acute; เกิดการไหลเวียนที่ไตต่ำ โดยขึ้นกับขนาดยา
-      Chronic; เกิด structural change ใน interstitial nephritis จากภาวะ ไตขาดเลือด
-      มักเป็น reversible หากคุมได้เร็วหรือเกิดในช่วงแรกๆที่ใช้ยา
-      ผู้ป่วยที่ใช้ยาหลัง 5 ปี มีความเสี่ยงที่จะเกิด CKD 7-21% ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ปลูกถ่ายด้วย
2.     Intra-renal toxicity
Intra – renal  อยู่ใน  “intrinsic kidney damage”  (เกี่ยวกับตัว nephron โดยตรง)
ยาที่ทำให้เกิดพิษโดยตรง
-      พิษต่อ cell ของ renal vasculature  (เนื้อ cell เลย)
-      Antibiotic  บางตัว ทำให้เกิดผลแบบเฉพาะที่ (allergic reaction) --> glomerulonephritis
-      เกิดการอักเสบ  ลุกลามไปสู่ renal interstitium --> interstitial nephritis  ตามมา
-      เหตุการณ์รุนแรงของยาบางกรณีอาจเกิดพิษโดยตรงต่อ tubule ใน nephron --> เกิด ATN  เกิด Acute intrinsic renal failure
-      ยาที่เป็นสาเหตุ ทำให้เกิด damage glomerulus & ปป.ค.สามารถในการกรองของ glomerulus :
-NSAIDs, penicillamine, gold*
-พบ protein ในปัสสาวะ > 3 g (เปลือกตาบวมปิด)
-รวมสิ่งที่เกิดเรียกว่า  “Glomerular disease” [Nephrotic syndrome]

เกิดผลต่อส่วนต่างๆ  ดังนี้
1.Vascular injury
-      Renal vasculitis (ผนังไตอักเสบ)
-      Thrombosis
-      Cholesterol emboli : warfarin, Thrombolytic agents
-      ยาที่ทำให้เกิด thrombotic microangiopathy & renal vascular injury
-  Mitomycin C               - Antineoplastic agent
-  Oral contraceptives      - interferon
-  Cyclosporine              - ticlopidine
-  Tacrolimus                 - clopidogrel
-  Quinine
-      Thrombotic microangiopathy :  การเกิดการอุดตันที่หลอดเลือดเล็กๆ  --> TTP – HUS
-      ยาที่การเกิดพิษสัมพันธ์กับ dose คือ Cyclosporin, Tacrolimus, Mitomycin C
-      ยาที่ทำให้เกิดพิษผ่านทางระบบ immune คือ Quinine, clopidogrel, ticlopidine, interferon
-      Anticoagulant (warfarin) & thrombolytics ก็เกิดได้
-      Cholesterol emboli  (ลิ่มเลือด + ก้อนไขมันเล็ก)  ลอยไปอุดหลอดเลือด --> ไตขาดเลือด

2.Tubular epithelial cell damage
2.1 Aminoglycosides :
-      เกิด ATN  เกิดได้  ~  1.7 – 58%  ของ pt ที่ได้รับยา
-      พิษโดยตรงต่อ epithelial cell ใน renal tubules โดยเฉพาะ proximal tubular epithelial cell  โดยเกิดการทำลายผนังท่อ  tubule ของไตส่วนต้น--> เกิดการอุดตัน tubuler lumen --> nephron ตัวนั้นทำงานไม่ได้เกิดการ block การกรองที่ glomerulus
ปัจจัยเสียงที่ทำให้ Aminoglycosides เกิดพิษต่อไตสูงขึ้น
หลักการง่าย  --> ให้ยาขนาดสูง
                -->ให้ยาเป็นเวลานานๆ ทำให้ยาสะสมในร่างกายสูงขึ้น
                -->เกิด ADR จากยามาก่อนหน้านี้แล้วได้รับยาซ้ำ
-->ได้รับยาอื่นร่วมด้วยที่มีผลเสียต่อไตเหมือนกัน
-->การขาดน้ำ, albuminต่ำ, อายุมาก



การป้องกัน  :
-รู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยเสี่ยง ก็หลีกเลี่ยง  ยกเว้น อายุ
-ใช้ ABO  ตัวอื่นแทน
-ป้องกัน Volume depletion (อย่าให้ pt ขาดน้ำ)
-ระวังเรื่อง dose ยา โดยเฉพาะขนาดยารวม (สะสม), ลดความถี่ในการให้ยา
-หลีกเลี่ยงการให้ยาร่วมกับยาอื่นที่มีผลเสียต่อไตเหมือนกัน
.: ขนาดยา  Aminoglycoside ที่ใช้ในpt ต้องประเมินค่าการทำงานของไตเสมอ
การดูแล  :
-ตรวจติดตาม  Scr * ทุก 2–4 วัน
-ในระหว่างการใช้ยา  พบ Scr > 0.5 mg/dl  (เพิ่มขึ้นจากเดิม) ให้ Stop ยา (ทบทวนขนาดยาใหม่)
-หยุดยาอื่นๆ ที่คิดว่าจะเกิดผลเสียต่อไตได้
-ให้น้ำแก่ pt อย่างเพียงพอ --> ห้าม pt ขาดน้ำเด็ดขาด
-ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นสามารถทำ  *dialysis ได้  เพราะ Aminoglycoside อาศัยน้ำขับออกทางปัสสาวะ โดยไม่เปลี่ยนรูป > 90–95%  .: dialysis  ช่วยดึงยาออกจากร่างกายได้

2.2 Amphotericin B  (ใช้น้อยอาจไม่ออกข้อสอบ),  ถ้าออก *  ก็ออก กลไกในการทำลาย tubule โดยตรง
- กลไกเหมือน Aminoglycoside พิเศษกว่าตรงที่มันไปที่ distal tubule ได้ด้วย และมันทำให้เกิดvasoconstriction ได้ คาดว่าผลเกิดจากการเคลื่อนที่ของ Ca2+ เข้า–ออก cell และการกระตุ้นของ PG ลดลง ทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไต หดตัว --> ไตขาดเลือด --> ATN
- Amphotericin B ในรูป liposome  จะ toxic ต่อไต รูปธรรมดา

2.3 Cisplatin & Carboplatin : พวก Pt  ที่ใช้ในการรักษามะเร็ง
- Carboplatin  อุบัติการณ์ < Cisplatin 
- กลไก*  :  เกิด epithelial cell damage บริเวณ  proximal tubule
- มีคุณสมบัติในการทำลาย  enz activity ของ cell ในขบวนการ oxidative phosphorylation -->cell เสียสภาพ    ทำให้ขาดพลังงาน --> cell damage
- การป้องกัน  ให้  Amifostine”  ไป  chelate cisplatin

2.4 Antivirals :
- Cidofovir, Adefovir, Tenofouir, Foscarnet, Acyclovir, Interferons
- เป็น direct toxic ต่อ cell บริเวณ renal tubule ทำให้เกิดการเสียคุณสมบัติ transport protein ของ tubular membrane แล้วทำให้มีการ loss ของ electrolytes -->tubular acidosis
- ระดับ ค. รุนแรงจากมากไปน้อย-proximal tubular defects [Fanconi’s syndrome]  cidofovir, tenofovir
                                       -distal tubular acidosis : forscarnet
                                       -nephrogenic diabetes insipidus : foscarnet
                                       -severe ATN
2.5 Radiographic contrast media --> Acute renal failure
อุบัติการณ์ < 2% - 50%  (เสี่ยงสูงหาก pt มีโรคไต &  DM)
-  direct tubular toxicity, มีผลต่อ epithelial cell ที่ proximal tubule --> เกิดการทำลาย cell จากภายใน (vacuolization) -->ATN ตามมา
การฉีดสารทึบแสง -->เกิดไตขาดเลือด โดยผลมาจาก ทำให้ BP ต่ำลง หลอดเลือดไปเลี้ยงไตหดตัว --> ไตขาดเลือด

3.   Tubulointerstitial disease
เกิดปัญหาที่ tubule จนถึง interstitial tissue
อาจเกิดแบบ acute & reversible ได้ โดยการอักเสบ-->สูญเสีย renal function อย่างรวดเร็ว --> เกิดอาการแสดงทางclinic
อาจเกิดแบบ chronic & irreversible โดยการเกิด fibrosis เกิดขึ้นในเนื้อไต --> ค่อยๆ loss function --> อาจไม่แสดงอาการทาง clinic เลยในระยะแรก (ต้องระวัง)

Acute interstitial nephritis  [AIN] * เกิด acute renal failure 3%
71%  -->Acute allergic interstitial nephritis [hypersensitivity / allergic reaction]   
พบบ่อยพวก  Antibiotic* [penicillins, cephalosporins, sulfonamides]ก
ลุ่ม  fluoroquinolone [ciprofloxacin]* 
อื่นๆ  :
-Antimicrobials
-NSAIDs
-Diuretic
-Neuropsychiatric
-อื่นๆ
-   
3.1 Penicillins
- *Methicillin – induced AIN
อาการปรากฏ 14 วัน หลังเริ่มใช้ยา
-  อาการ คือ มีไข้, ผื่น, pyuria/hematuria, proteinuria, oliguria
หากมี Tubular dysfunction  อาจมีอาการ acidosis, k+สูง, การสูญเสียเกลือแร่, การสูญเสียการควบคุม ความเข้มข้นในการสร้างปัสสาวะได้
3.2 NSAIDs  :  พบใน  pt  อายุ>50 ปี, อาจทำให้เกิด nephrotic syndrome
-การเกิด AIN
     -  มักเกี่ยวกับ allergic hypersensitivity
-ปัจจัยเสียงการเกิด AIN --> ไม่เฉพาะเจาะจง  การป้องกันก็ไม่มีเหมือนกัน เพราะ คาดเดาไม่ได้
แก้ไข : หยุดยา แล้วรักษาไข้ตามปัญหาที่เกิด
3.3 Lithium
เป็น direct toxic ต่อ renal tubule --> สูญเสีย function ของการ concentrate urine
ยาไปมีผลต่อ aquaporin -2/ -3 & Na+ channel

3.4 NSAID & Analgesic
-  Analgesic nephropathy :* NSAIDs, acetaminophem ,ASA
มีผลเป็น chronic kidney หากใช้ long–term (>5 y)
กลไกของยาแก้ปวดทั่วไปเราไม่รู้ รู้เฉพาะ NSAID
อาจเกิด Necrosis, fibrosis ของ renal medullary interstitium อาจเกิดรวมกันมี cell infiltrate เข้าไป -->เกิด atrophy ของ Henle’s loop
-  NSAID & Salicylate --> Medullary ischemia จาก vasodilator ของ PG (หลอดเลือดหดตัว)

4.Glomerular disease : Minimal change glomerular injury
โดยทั่วไปเกิดจาก NSAIDs  แต่กลไกเกิดจาก T–lymphocytic  infiltration เข้าไปใน interstitial เป็น cell – mediated immunity
ยาอื่นๆ  ที่เกิดได้  Ampicillin, Rifampin, Phenytion, Lithium
Focal  segmental glomerulosclerosis (FSGS)
Membranous nephropathy 
- มักเกิดที่ glomerulus ที่พบบ่อย “Gold”-      อื่นๆ  ที่พบ penicillamine, ACEIs, Foscarnet, NSAIDs
เกิดได้โดยการทำลาย proximal tubule epithelium โดยตรง มี immune complex --> immune response

4.1 Interferon - a
เกิดปัญหาที่ glomerular
เกิดได้ทุกแบบที่กล่าวมา

3.     Post-renal toxicity
เกิดหลังจากผ่าน glomerulus ไปแล้ว เป็นเรื่องของ Obstructive nephropathy (การอุดตันท่อ) ทำให้มีปัญหาต่อการไหลของปัสสาวะหลังผ่าน glomerulus
-      โดยทั่วไปแล้วอาจเกิดจากมีการอุดตันภายในของ tubule จากการตกผลึก / ตกตะกอนของผลึกยา ภายใน
   renal tubule
-      อาจเกิดจากการไปอุดกั้นของ ureter ในกระเพาะปัสสาวะก็ได้ --> จะตรวจพบว่ามี Scr สูง
-      เรียกปัญหาแบบนี้ว่า  Crystal nephropathy
-      การตกผลึกอาจเกิดจากตัวยาเอง หรือ metabolite ของยาก็ได้

-      ปัจจัย ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คือ
-    severe volume contraction (blood vol.ต่ำ)  เพราะ ขาดน้ำ
-    Excessive drug dosing (การให้ยาขนาดสูง)
-    PH ในปัสสาวะ  -->  มีผลต่อค่าการละลาย
Acute uric acid nephropathy
    -   สาเหตุส่วนหนึ่งที่พบ  renal failure คือมีการอุดกั้น จากการ product ของการทำลาย  tissue  เช่น หลังการใช้   chemotherapy  ใน pt มะเร็ง
แก้ไขโดย  ป้องกันการขาดน้ำ, ปรับปัสสาวะให้เป็นกลาง, ให้ allopurinol

1.   Antivirals : Acyclovir, Ganciclovir, Indinavir
     -เกิดการทำลายโดยตรงของผนัง cell renal tubule--> เกิดการอุดตัน
     -โดยเฉพาะการใช้ Acyclovir ขนาดสูง &  ให้ทาง IV --> ขาดน้ำ --> เกิด renal tubular obstruction
     วิธีป้องกัน : ต้องปรับขนาดให้ดี, ให้ IV fluid --> ในอัตราที่ช้าลง

2.*HMG–Co.A  reductase inhibitor (Statins)
เกิด Direct myotoxicity (เกิดการทำลาย cell กน.โดยตรง)--> rhabdomyolysis -->myoglobin ตกตะกอน --> อุดกั้น microtubule --> function ไตเสื่อมสภาพ

3.  Ascorbic acid
-  การใช้  Vit.C  ในปริมาณสูง -->มีการอุดกั้น renal tubule --> โดยการตกผลึกของ calcium oxalate
-  Oxalate เป็น metabolite ของ ascorbic acid ที่ละลายน้ำยาก*

4.  Sulfadiazine
-  Metabolite คือ Acetylsulfadiazine * เป็นตัวที่เจอแรกๆ ที่เกิดปัญหาของ crystal nephropathy
     -ไปอุดกั้นท่อทางเดินปัสสาวะใน nephron
     -ตกตะกอนได้เมื่อให้ขนาดสูง  & pH < 5.5 (กรด)

5.  Triamterene : ยาขับปัสสาวะ
-  ตกตะกอนใน renal tubule ได้ --> renal failure

External urinary tract obstruction (นอก nephron)  Lower
-      อาจเกิดได้จาก retroperitoneal fibrosis หรือ การอุดกั้นของ ureteral
-      ตัวที่พบบ่อย คือ Methysergide
-      มีรายงานจาก hydralazine, methyldopa, pindolol, atenolol, ergotamine, dihydroergotamine
-      Bladder dysfunction มีการอุดกั้นของกระเพาะปัสสาวะ  ส่วนใหญ่มาจาก ต่อมลูกหมากโต, anticholinergic  
   drug, tricyclic antidepressant, disopyramide
-      ท่อขาออกของ Bladder กับการอุดกั้น ureter อาจมีสาเหตุมาจาก fibrosis --> Cystitis ตามมาอาจเกิดจาก
    ยา Cyclophosphomide / ifosfamide

Nephrolithiasis  (kidney stone)  นิ่ว
-          อาจเกิดได้จาก  Indinavir, Sulfadiazine
-          พบได้แม้ใน triamterene – HCTZ ใน pt HIV (1/1500)

4.  Pseudo–Nephrotoxicity  ยาที่ทำให้แสดงผลเสียต่อไตแบบคล้ายๆ  (จริงๆ  ไตไม่มีปัญหา)
เกิดจาก
1.      ยาบางตัวไปแย่งการขจัด Cr ออกจากร่างกาย--> Cr  ตกค้างใน serum สูง --> ตรวจพบ Scrสูงขึ้น
2.      ยาที่รบกวนผลตรวจ  Scr
ยาบางตัวไปแย่งการขจัด Cr
ยาที่รบกวนผลตรวจ Scr
Amiloride
Ascorbic acid
Cimetidine
Cephalosporins
Probenecid
Flucytosine
Spironolactone
Levodopa
Triamterene
Methyldopa
Trimethoprim


     *Corticosteroid or Tetracycline : เกิด protein catabolism -->การสร้าง urea สูง --> (สองตัวนี้ไม่เกี่ยวกับ Cr, Scr)  ทำให้  BUNสูง